Tuesday, April 30, 2013

๖ เสือ สิงห์ อินทรี มังกร ชีวิตคือการต่อสู้

๖ เสือ สิงห์ อินทรี มังกร ชีวิตคือการต่อสู้

    ถ้อยคำนั่น ผมได้ฟังมาตั้งแต่เด็กทั้งยังจำมาขยายความหมายของมันด้วยพอรู้ความหมาย ความคิดในวัยเด็ก
ก็ฝันใคร่ได้มีชีวิตพเนจรผจญภัย ได้ต่อสู้เพื่อการดำรงชีวิตทุกรูปแบบเยี่ยงชาติชาตรี

   ถึงวันนี้ พอเริ่มต้นคอยรถเพื่อบรรลุถึงความฝัน ผมชักลังเลไม่แน่ใจว่าจะเอาตัวรอดไปได้แค่ไหน เข้าตำรา ปลาผิดน้ำ
ทหารนั่งสภา กระนั้นข้อหาบุคคลอันธพาลขังไม่มีกำหนดเดือนปีอขงคณะปฏิวัติทรงอำนาจกว่า จึงยืนเดี่ยวสะพายถุงเป้
ใส่เสื้อผ้ารอรถ บ.ข.ส. สายระยอง-กรุงเทพฯ ตรงเชิงสะพานพระโขนงสืบไป

   สักครู่รถ บ.ข.ส. สายที่จะนำผมพเนจรเข้าเทียบ เด็กรถแหกปากทำกิจแจ้ว ๆ

  " ชลฯ เตาถ่าน สัตหีบ กิโล ๑๐ สนามบิน นิวแลนด์ มาบตาพุด ระยองครับ "

   เมื่อขึ้นรถได้ที่นั่งเบาะหลังเกือบสุดชิดหน้าต่างขวาและรถเคลื่อน ผมนั่งเป็นพระพุทธไปตลอดทาง ส่วนก้อนเนื้อในกะโหลก
คิดเผื่อเหลือเผื่อขาดถึงงานที่มุ่งไปทำ หากบังเอิญหาไม่ได้แล้วจะทำประการใด

   อีกความรู้สึกหนึ่งกลับบอกว่า " เหอะน่า...ให้มันถึงที่สุดค่อยตัดสินใจ "

  ท่ามกลางความสับสนบนกบาลกับเรื่องของตัวเอง จู่ ๆ เรื่องพิสดารเกิดขึ้นกลางรถโดยสารที่กำลังตะบึงฝ่าความมืด
เข้าตัวเมืองชลบุรี

   เก๊าตี๋น่ะเอง

   ร่างเล็กเพรียวของเพื่อนเดินเอียงร่างแทรกช่องทางเดินแคบ ๆ กลางรถมาหา พลางยิ้มกริ่มทักทาย

   " ไม่คิดว่าจะเจอนายบนรถนี่ "

   " เหมือนกัน "

   ผมตามน้ำตามความจริงพร้อมส่ง " ซิก " ทางสายตาให้ระวังผู้โดยสารอื่น ๆ กุมารจีนม้าเก็งเอ๋าผู้ใกล้จะเป็น
มังกรจึงชักชวนให้ไปนั่งด้วยกันที่กลางรถ เลยตามไปนั่งด้วย

   เมื่อมีเพื่อน เก๊าตี๋เปิดปากทันที

  " นายจะไปไหน เปี๊ยก "

  " อู่ตะเภา "

   " ใจเดียวกันเป๊ะ " เก๊าตี๋ดีดนิ้วเปาะ " นายคิดจะทำอะไรที่นั่น "

  " อยากทำงานบาร์เพราะเที่ยวมามาก ตอนนี้ได้ข่าวว่าสนามบินใกล้เสร็จแล้ว ต่อไปพวกไอ้กันจะยกทัพไปอยู่ที่นั่น
งานบาร์คงไปได้สวย " ผมเปิดใจ

   " นายรู้จักใครที่นั่นหรือ " เพือนซัก

   " ไม่รู้จักใครเลย "

  " เหมือนกันว่ะ " กุมารจีนบอกปนหัวเราะเบา ๆ

  ที่สุดเรา ๒ คน ซึ่งยังไม่มีจุดหมายปลายทางแน่นอนยุติการสนทนา ให้เวลาความคิดตรองหาทางไปบนเส้นทางที่เป็น
ปรัศนีย์ สำหรับเก๊าตี๋ผมยังไม่รู้ว่าเขาจะเลือกทำ " งาน " ประเภทใด อายุเพียง ๑๙ - ๒๐ ปี ในสายตาคนเจนโลกทั้งเขา
และผมตำแหน่งงานคงหนีไม่พ้นเป็นลูกน้องคน ซึ่งมันคงแปลกถ้าเราประพฤติได้ โดยเฉพาะกุมารจีนเก๊าตี๋จะแปลกมาก
ถ้ายอมเป็นลูกน้องหรือแม้แต่จะเสียเปรียบคน

   นิสัยเช่นนี้เหมือนกันเกือบทั้งตระกูล ยกเว้นเจ๊หลั่นกับน้องชายคนสุดท้ายชื่อ " เกโง่ " ที่ไม่สนใจเรื่องราวของชาวยุทธ์
เท่าใดนัก

   สนามบินอู่ตะเภา เกือบ ๕ ทุ่ม ผมกับเก๊าตี๋พากันลงจากรถ บ.ข.ส. สะพายถุงเป้เดินสังเกตบริเวณด้านหน้าแคมป์
อันมีอาคารบ้านเรือนปลูกขึ้นหนาแน่น แต่เงียบเหงาผู้คน ตลาดกลางคืนหน้าแคมป์ มีคนไทยชาย-หญิง แต่งตัวฉูดฉาด
มาใช้บริการน้อยมาก หลังจากแวะกินอาหารบำรุงกระเพาะแล้ว ผมลองถามเด็กส่งก๋วยเตี๋ยวดูว่าของที่อยู่ในตู้เต็มตู้
จะขายคืนนี้หมดหรือ นี่ปาเข้าเกือบครึ่งคืนแล้ว ได้รับคำตอบว่า ตี ๓ บาร์ที่นิวแลนด์เลิกนักท่องราตรีทั้งไทย-เทศ
เพศหญิงและชายจะเฮมาที่นี่ อาหารทุกชนิดทุกร้านในตู้ที่ผมกังขาสามารถจำหน่ายหมดก่อนฟ้าสาง ซึ่งในเวลาต่อมา
ผมต้องเชื่อ

     ๕ ทุ่มของที่นี่เพิ่งหัวค่ำอยู่ครับ

   ออกจากร้านอาหารเดินทอดน่องใต้ฟ้าประดับดาว อัดบุหรี่แก้เปรี้ยวปากเป็นครังแรกนัยแต่ออกจากกรุงเทพฯ เก๊าตี๋ซึ่ง
ไม่เคยเสพของมึนเมาทุกประเภทเคี้ยวหมากฝรั่งหยับๆ กราดตามองคิวรถสองแถวเล็กเกือบร้อยคันที่จอดอยู่ข้างลานกว้าง
หน้าสนามบิน พูดลอยๆ

   " ถ้าเราอยู่ที่นี่นานๆ เราควรจะมีรถสองแถวเล็กสักคัน "

  " นายจะเอามาวิ่งรับฝรั่งหรือ "

   " ทำสารพัดประโยชน์ ที่นี่ขุมทองนะเพื่อน "

   ผมสะกิดใจกับคำว่า " ทำสารพัดประโยชน์ " ของกุมารจีนม้าเก็งเอ๋า เลยเก็บค้างไว้ในใจ จากนั้นต่างสะพายถุงเป้ไปขึ้นรถสองแถว
สายสนามบิน-นิวแลนด์ สู่อาณาจักรบันเทิงนักรบต่างแดน สำรวจทิศทางจรกับอาชีพที่จะทำ

   ๒๐ นาทีโดยประมาณ สองแถวโดยสารหมุนวงล้อผ่านม่านกลางคืน สองข้างทางไปหยุดจอดตรงปากทางนิวแลนด์ ซึ่งประดับไฟ
หลากสีสว่างโพลงตลอดแนวแถว พอจ่ายค่าโดยสารเรียบร้อย เรายังไม่ดิ่งเข้าถนนเริงเมืองที่กำลังคึกคักผู้คนเฉพาะอย่างยิ่งนักรบ
ขาว-ดำ จึงพากันเดินชมวิมานราตรียังถนนฝั่งตรงข้ามไปจนถึงบาร์รำวง " ธาราทอง " เก๊าตี๋ชวนหมับ

  " เข้าไปที่บาร์นั่นสักพักนะ "

   " เผื่อเจอพวกเราใช่ไหม "

   " ไม่แน่นะ เผลอๆ มันอาจเผ่นมาก่อนเราก็ได้ " กุมารจีนวิเคราะห์

   พอหลุดตัวผ่านประตูบาร์มีม่านสีเลือดนกกั้นอีกชั้นเข้าไป เสียงดนตรีกับนักร้องที่แว่วๆ ตอนอยู่ภายนอกดังซ่าอึงไปทั้งหู ขณะยืน
กวาดตาหาโต๊ะมุมเหมาะกลางดวงไฟสีเขียวเรืองอวลด้วยหมอกควันเชื้อมะเร็งที่คับคั่งผู้ใช้บริการอยู่ บริการสาวเรียกด้วยแสงไฟ
ฉายให้เดินตามไปนั่งยังโต๊ะว่างไมไกลฟลอร์ นั่งดื่มเครื่องดื่มชมนางรำถูกไอ้หนุ่มต้อนคลายล้าพักใหญ่ สาวบริการเข้ามาถามว่าจะซื้อ
บัตรรำวงขึ้นไปดิ้นบ้างไหม

  เก๊าตี๋คงเห็นว่าเรา ๒ คน นั่งซัดน้ำส้มคนละขวด แต่ใช้ก้นนั่งบนเก้าอี้ร่วมชั่วโมงจนถูกเตือนโดยอ้อม เพื่อดึง " ช้างแดง " ( ๑๐๐บาท )
ซื้อบัตรซื้อเวลานางรำให้มาดิ้นมารำอยู่ข้างหน้าโต๊ะเราเพียงนางเดียวตามสมัยนิยม

   แต่อู่ตะเภาไม่ใช่ " นเรศวรบาร์ " กวาดตามองถ้วนหน้าแล้วล้วนร้อยพ่อพันแม่ พอนางรำวัยไล่ๆ กับพวกเราออกมาเต้นกับรำ
เบื้องหน้าได้ ๓ - ๔ เพลง นัยน์ตาที่บ่งถึงความไม่สบอารมณ์นัก เริ่มเกิดจากวัยคะนองโต๊ะใกล้เคียงนั่นเอง

   แล้วจะทำอย่างไร ?

   ไอ้เรื่องจะรอจนพวกมาบอกให้ปล่อยผู้หญิงให้ผู้อื่นครองสิทธิบ้าง ผมไม่ยอมรอถึงเวลานั้นแน่ จึงหาช่องทางแก้เลยหมดอารมณ์
เริงใจกับของสวยงามภายในฟลอร์สิ้นเชิง

  พลัน หนทางออกจุดแวบทางปัญญา

   " เก๊าตี๋ ออกไปดูที่อื่น ๆ บ้างดีกว่า "

   " เดี๋ยวให้บัตรหมดก่อน " เก๊าตี๋บอกเรื่อยๆ

   ผมเหลือบตามองบัตรซื้อเวลานางรำพลางบอกต่อ " ผู้หญิงที่เต้นอยู่นั่น ๕ เพลงแล้วนะ ขืนให้เต้นอีก ๔๕ เพลง เธอตายสนิท "

   เก๊าตี๋เงียบไป ผมตามเรื่องต่อ " บัตรที่เหลืออยู่นี่เราจะลองพูดขอเปลี่ยนเป็นพวงมาลัยให้รางวัลผู้หญิงนะ "

   " นายกลัวมีเรื่องหรือ "

   " แล้วนายว่าสมควรมีไหม " ผมย้อน

   เขายิ้ม ผงกหัวหงึกๆ ผมไม่รอทอดเวลาให้เกิดเรื่อง จัดการมอบบัตรทั้งหมดให้สาวบริการนำไปเปลี่ยนเป็นพวงมาลัยมาให้เพื่อนคล้อง
คอนางรำแทน ซึ่งก็สามารถลดความเกรี้ยวกราดทางสายตาได้โข

   ครู่หนึ่ง จึงชวนเขาออกจากบาร์รำวงเดินข้ามถนนสุขุมวิทที่พาดกลางเข้าอาณาจักรบันเทิงอย่างไม่รีบร้อนนัก ต่อมาผมเหวี่ยงถุงเป้
เปลี่ยนไหล่เพราะชาหนึบไปทั้งแถบ หลายครั้งที่ไฟหน้ารถสองแถวโดยสารพุ่งไฟจี้หน้าเราจนต้องยกมือป้องหน้า รถทุกคันที่วิ่งสวนออกไป
ล้วนบรรทุกจีไอกับเมียเช่าเต็มรถ ระหว่างเดินไปถึงสถานเริงรมย์ " อเมเจอร์คลับ " บริเวณซอกแคบๆ ติดกับไนต์คลับมีร้านอาหารพื้นเมือง
กับรถเข็นจำหน่ายลูกชิ้นปิ้งตั้งบริการอยู่ ข้างๆ รถเข็นปรากฏสาวสวย ๒ นาง วัย ๒๐ ปีเศษ นุ่งยีนรัดรูป สวมเสื้อยืดสีชมพูกับสีเหลือง
แลทรวง ๒ เต้าตั้งตระหง่าน กำลังคอยแม่ค้าบรรจุอาหารใส่ถุงอยู่ ได้ผินหน้ามาทางเรา จึงเห็นโฉมหน้ากันชัดเจน แม่คุณอุทานมากกว่าเรียก

   " พี่-เฮีย "

   เราเบรกตัวเองราวนัดกัน เก๊าตี๋ขยับก้าวเข้าไปหา ถามทั้งๆที่ตัวเองอายุ ๑๙ ปี

  " เจอพวกๆ เฮียบ้างไหม "

  " เคยเห็นระยะนี้ ๒ คนค่ะ " ๑ ในอดีตกินรีโคมเขียวพะเนียงทองบอกชัดเจน

   " แหม่มเห็นใคร "

  " หมู่เชียรกับพี่แดง "

   " แดงไหน "

   " พี่แดง ไบเล่ย์ กับหมู่เชียรหัวหยิกค่ะ "

   สิ้นคำบอกเธอ เก๊าตี๋หันมามองหน้าผมเช่นเคย ส่วน ๒ สาวมองถึงเป้บรรจุผ้าห่มเนื้อบนไหล่เรา อึกใจอีกนางหนึ่งเว้าบ้าง หลังรับถุง
บรรจุลูกชิ้นปิ้ง

   " พวกพี่จะไปไหนกันนี่ "

        " ยังไม่รู้..." เพื่อนตอบ และเสริมหาข้อมูลคำบอกของสาวเมื่อครู่ " แหม่มรู้จักที่พัก ๒ คนนั่นหรือเปล่า "

     " แหม่มคิดว่าคงอยู่แถวๆ บ้านฉางค่ะ วันหลังถ้าเฮียอยากเจอแหม่มจะลองไปถามเพื่อนๆ แถวนั้นดู "

   " แล้วต่อไปเฮียจะพบแหม่มได้ที่ไหน "

   " คืนนี้พักบ้านแหม่มก่อนก็ได้ แหม่มอยู่กับซูซี่ ๒ คน ผัวไม่มีค่ะ "

   ผมลอบกระหยิ่มข่มใจระคนคิดถึงถ้อยคำเปิดเผยของแหม่ม เพราะภาษาเช่นนี้หญิงไทยไม่นิยมพูดกับเพื่อนต่างเพศ ส่วนกับแหม่มอดีตสาว
รุ่นอายุ ๑๔ ปี จากแดนดอกเอื้องเมืองฝาง ซึ่งใข้ร่างแลกกับเงินมาเกือบ ๑๐ ปี ( ก่อนผมเที่ยว ) กลางเมืองหลวง เธอพูดกับเราวันนี้
จึงได้แต่ลองนึกๆ ดูตามประสบการณ์ที่มีกับซ่องและโรงแรมพอสรุปได้ว่า ทั้งซูซี่และแหม่มถ้าเป็นเพศชายก็คงลายยันหางเหมือนเรา

   " เปี๊ยกจะเอายังไง จะพักโรงแรมสัตหีบ หรือที่บ้านแหม่มชั่วคราว " เก๊าตี๋เกิดลังเล

   " พักบ้านพวกเราเหอะพี่ " ซูซี่สาวผิวขาวว่าบ้าง

   " เธอ ๒ คนกำลังทำงานอยู่ไม่ใช่หรือ " ผมแอะ

  " ส่งแขกแล้ว คืนนี้ได้ ๑๐ เหรียญ ไม่ได้ออฟ "

   ผมเหวี่ยงสายตาไปทางเพื่อน เก๊าตี๋พยักหน้าเห็นงามจึงแห่ตามด้วย แต่พอขึ้นไปนั่งอัดกันบนรถสองแถวเล็กไม่เลือกชาติ วรรณะ
ก็ฟังแต่ฝรั่งพ่น พร้อมกับกอดหญิงไทยตัวเล็กๆ ขลุกขลักสนองอารมณ์มือไม้ตลอดทาง ชักพาลใคร่กรีดหน้านักรบขาว-ดำมาเทียบ
เลือดอันธพาลไทยนัก

    ถึงกิโลสิบ รวงรัง ๒ สกุณายามรัตติกาลผมนึกถึงย่านเสวนีย์แหล่งเสื่อมโทรมของกรุงเทพฯ ขึ้นมาทันที บัดนี้บรรดาเรือนหอ
รอไล่ได้ผุดขึ้นบนแผ่นดินที่ลุ่มอันเคยเห็นว่างเปล่าเมื่อ ๔ - ๕ ปีก่อน แน่นขนัดไปด้วยบ้านเรือนรูปทรงพิสดาร จากแสงไฟร้านอาหาร
นับสิบที่ตั้งอยู่ด้านหน้าหมู่บ้านช่วยให้มองเห็นส่วนประกอบตัวบ้านซึ่งส่วนใหญ่เป็นบ้านชั้นเดียว ใช้หลังคาสังกะสี ฝาบ้านใช้ไม้อัด
สูงจากพื้นน้ำเน่าราวศอกเศษ

  ๒ สาวเดินนำหน้าเราลงจากไหล่ถนนผ่านร้านค้าซ่าหริ่ม บัวลอยไข่หวานที่มีแม่ค้าหน้าหวาน ๒ - ๓ นางบริการลูกค้าอยู่ เสียงหนึ่ง
ดังมาจากร้านซ่าหริ่ม

   " เฮ้ย...อีซูซี่ เดี๋ยว "

   ๒ สาวหยุดกึก " อีนิ่ม " จาก " พะเนียงทอง " ย่านนางเลิ้ง หรือซูซี่หันขวับมองเข้าไปในร้านค้าซ่าหริ่มฟาสต์ฟู้ด หนุ่มหนึ่งตัดผมทรง
ลานบินหุ่นทรงเตี้ยล่ำวัยรุ่นพี่ แต่งตัวเปรี้ยว ลิ่วออกจากร้านมาหา ๒ สาวพลางเหล่ตามองผมกับเก๊าตี๋ ก่อนเบนสายตาไปทางซูซี่ ถามห้วนๆ

   " ของมีแล้ว จะเอาหรือเปล่าวะ "

   ซูซี่หันไปปรึกษาแหม่ม สาวงามแดนดอกเอื้องถามสุ้มเสียงพอกัน

  " เม็ดละเท่าไหร่ "

   " ๓ เม็ด ๑๐๐ ขาดตัว "

  " ส้นตีน...แต่ก่อนเม็ดละ ๑๐ ของขาดวันเดียวมึงขาย ๓ เม็ด ๑๐๐ "

   " หยั่งงั้น กูขายกันเอง ๔ เม็ด ๑๐๐ เอาไหม...นี่บาร์เลิกแล้ว ถ้าไม่เอา แล้วอย่ามาด่ากันล่ะ " พ่อค้าหนุ่มเปิดโอกาส

   ๒ สาวอึ้งเหมือนจำเลยจำนนพยานกลางศาลอึดใจ ทั้งคู่ดึงเงินออกมาคนละร้อยส่งให้พ่อค้าสินค้าที่ผมยังไม่เห็นหน้าตาสินค้า
ต่อมามันชี้มือและบอกให้เราไปยืนคอยที่ใต้ต้นตะขบห่างจากร้านค้าประมาณ ๒๐ เมตร เก๊าตี๋ถามขึ้นระหว่างรอคอยสินค้า

   " แหม่มกับนิ่มซื้ออะไรจากมัน "

   " ไฮโซน็อกค่ะ "

   เก๊าตี๋สงบปาก ผมดันอาทร " แหม่มกับนิ่มควรจะเลิกได้แล้ว กินมากจนติดมันทำให้เพี้ยนได้นะ "

   " ก็มันติดแล้วนี่พี่ " เธอตัดปัญหา

  เมื่อได้ยามอมมึนประสาทเรียบร้อย ๒ สาวพาเดินข้าไปบนสะพานไม้ ๒ แผ่น ซึ่งทอดยาวจรดบ้านอื่นๆ ไม่ลึกนักก็ถึงรวงรังอยู่ขุดทอง
อเมริกันหลังเล็กๆ ของเธอที่ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ประดับนอกจากปกนิตยสารต่างๆ ปะติดข้างฝาไว้รอบ

    " อาบน้ำก่อนเลยเฮีย พี่เปี๊ยกด้วย " ซูซี่อมยิ้ม

    ที่สุดค่อนคืนนั้น เก๊าตี๋กับผมก็ได้รับการปรนนิบัติจาก ๒ สาวรุ่นพี่ทั้งเลี้ยงดูทั้งปูเสื่อจนหลับผล็อยไม่ผิดทารก

   รู้สึกตัวอีกทีเพราะเพื่อนปลุก แต่เสียงที่ได้ยินครั้งแรกเป็นเสียงเด็กน้อยร้องไห้ ตามด้วยเสียงดุด่าทุบตี ต่อมาเป็นเสียงของกุมารจีนม้าเก็งเอ๋า

   " เปี๊ยก อี ๒ ตัวนั่นยกเค้าเราเกลี้ยงเลยว่ะ "

   " เฮ้ย..." ผมร้องได้คำเดียว

   เป็นความเจ็บปวดที่น่าอัปยศไม่น้อย ถ้าเรา ๒ คนประเมินตนเหนือคน แต่ถ้าปลงด้วยใจที่เที่ยงธรรม เก๊าตี๋กับผมได้ชำระหนี้กรรม
ไปบ้างแล้ว อย่างน้อยบนถนนของพวกเธอ เราเคยสมประสงค์จากน้ำเงินอันเจ็บปวดนั่นดุจเดียวกัน

   เหล่านี้เป็นความรู้สึกของผมที่สูญสมบัติในกระเป๋าเทียบราคาเงินไม่ถึง ๑๐,๐๐๐ บาท ส่วนของเพื่อนมีเงินสดเกือบ ๕๐,๐๐๐ บาท
ปืนพกขนาด .๓๘  ๑ กระบอกพร้อมกระสุน

   " นายคงฉุนขาด " ผมเดาใจเพื่อน

   " ช่างมัน สมบัติควรผลัดกันชมว่ะ "

   นั่นเป็นครั้งแรกที่กุมารจีนม้าเก็งเอ๋า พกพาการเสียสละ เจือเมตตาโดยมิได้สำแดงอาการอื่นใด    

0 comments:

Post a Comment