Tuesday, April 30, 2013

เรื่อง" เส้นทางมาเฟีย" เรื่องจริงของ แดง ไบเล่ย์

เส้นทางมาเฟีย
ผู้เขียน คุณสุริยัน ศักดิ์ไธสง <เปี๊ยก>



ขอ แก้ไขคับผมคือไม่ได้มี 10 ตอนอย่างที่บอกนะคับต้องขออภัยด้วยคับเท่าทีดูเพิ่มคือน่าจะ 60 กว่าตอนคับ ขออภัยอย่างสูงคับที่ไม่ได้เช็คเนื้อหาแบบละเอียด

คับได้ข้อสรุปแล้ว มีทั้งหมด 70 ตอนคับ 555+ ตาลายเลย










1. แดง ไบเล่ย์ ยุทธจักรนักเลง

ปี พ.ศ. ๒๔๙๗ - ๒๔๙๘ ยุทธจักรนักเลงชาวสยามเฟื่องสุดขีด มีชาวยุทธ์ระดับยอดฝีมือหลายท่านที่จะกล่าว
ถึงล้วนมีบารมีถึงขั้นร่วมดื่มสังสรรค์กับท่านอธิบดีกรมตำรวจ พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ ( ภายใต้ดวงอาทิตย์ ไม่มี
อะไรที่ตำรวจไทยจะทำไม่ได้ ) และเหล่าอัศวินชั้นนำของท่านมาแล้ว จึงขอลำดับถิ่นที่จอมยุทธ์แต่ละท่านยิ่งยงดังนี้

สถานรีถไฟหัวลำโพง มีผู้อาวุโสชื่อเฮียรุ่ง เจ้าสำนักที่แท้ยี่ห้อ เกชา กับเกเตอร์ วองยี่ หนุ่มสองเลือดทุ่งวัดดอน
ประตูน้ำ ถิ่นนี้มีนักสู้ ๓ ใบเถา คือ เฮียยอด, เฮียกาญจน์ และเฮียเต๋ง
ท่าเตียน พระเอก นิตย์ หรือ นิตย์ ท่าเตียน เป็นเจ้าสำนัก สี่เสาเทเวศร์ ถวัลย์-ธวัช วงศืเทเวศ ๒ พี่น้องเจ้าสังเวียน
สามยอด โรงหวย สะพานถ่านนาม เฮียขีน
บางลำพู นิตย์ บางลำภู, จ่าหาญ
วรจักร แก้วไฝ บ้านบาตร, เฮียหนอง, ตึกดิน อรรคเดช,สะพานพุทธฯ ธนบุรีมี เฮียตง, เฮียตุ๊ ตลาดสมเด็จ, ชาติ " เป๋ " ( ถูกเกชายิง ),
ชัย โพธิ์สามต้น และ แอ๋ว " ดำ " , สวนมะลิก็ เก๊า ม้าเก็ง , หมึก- แคล้ว ตรอกหวาย, สะพานเหลือง โอเหล่ เต็งโก้, ตลาดนานา จ่าวาฬ,
ย่าน วิทยุ จ่าแมน ( กองสัญญาณ ทร. ) , ถนนตก เฮียเชิง, เยาวราช อั้งม้อ, ฮ่งเอี้ยงและ โอวตี๋ , ลุมพินี ไก่ พระเจน, คลองเตย หมู่ต้อง หมู่เทียน,
บางซื่อ อาจารย์ เหงี่ยม-เฮียชัช กรมอู่ ทร. จ่าตอน ( ศิษย์หลวงพ่อโอภาศรี )
๔๒ จอมยุทธ์ดังกล่าว พอเอ่ยนามชาติชาตรี ย่อมคารวะในเชิงยุทธ์

เมื่อนักเลงเฟื่อง นักการเมือง นักปกครอง นักธุรกิจเถื่อนก็เริ่มมองเห็นประโยชน์ที่จะได้จากกลุ่มชนนี้ตามปัญญาตน เช่น
ทหารใช้เป็นฐาน ข้าราชการใช้เป็น " สาย " นักการเมืองใช้เป็นหัวคะแนน นักธุรกิจเถื่อน " ขุน " เป็นมือตีน

ช่วงนี้เองที่วงการนักเลงเริ่มเปลี่ยนเป้าหมายสั่งสมบารมีหวังเป็นหนึ่งในยุทธจักรไปสวม " ปลอกคอ " รับใช้นักการเมืองและตำรวจ
หวังประโยชน์เฉพาะกลุ่มแก๊ง

ในท่ามกลางความผันผวนทางการเมืองของชนชั้นบริหารและการเปลี่ยนปณิธานชาวยุทธ์ ยังมีบรรดาชาวยุทธ์คลื่นลูกหลัง
จำนวนไม่น้อย เฝ้ามองด้วยความอยากใคร่เป็นใครก็ได้ในจำนวน ๔๒ จอมยุทธ์นั่น

ล่วงปลายปี พ.ศ. ๒๔๙๘ ข่าวการ " ดวลคิว " เชิงสนุ้กเกอร์ระหว่าง ๒ ดาวดัง เก๊า ม้าเก็ง กับ พัน หลังวัง ที่โต๊ะบิลเลียด " เวียงฟ้า "
ตอนเที่ยงวันนี้ไม่ใช่ข่าวเล็ก เพราะทั้งสองมีฝีมือและใจทัดเทียมกันมากในทุกๆ ด้าน เมื่อมีโอกาสได้ประมือเชิงสนุ้กเกอร์ดังกล่าว
จึงเป็นที่ฮือฮาในกลุ่มโก๋กี๋ตี๋ม่วยทุกบางของกรุงเทพฯ

สำหรับผมเป็นชาวยุทธ์ที่ไม่สังกัดสำนักใด ถูกบังมานกับพรรคพวกย่านเจริญผลบุกชวนถึงถิ่นจึงไม่ขัดขืน และพอโผล่ขึ้นไปบนชั้น ๓
ของสมาคม มาน เจริญผล สะกิดแขนทันที

" นี่มันแข่งสนุ้กเกอร์หรือว่าจะตีกันวะ "

ผมไม่กล่าวอะไร แต่ใช้การสังเกตพฤติกรรมคนรอบๆ ตัว จึงรู้ว่าเวียงฟ้าของชาวเรามีชาวยุทธ์ทุกรุ่นมาชุมนุมกันมากหน้าหลายตา
เฉพาะอย่างยิ่งวัยรุ่นที่กำลังพุ่งแรงอย่างเอ๊ด หลังวัง, แดง ไบเล่ย์ , ปุ๊ ระเบิดขวด, ดำ เอสโซ่ และ แหลมสิงห์ก็มาเป็นสักขีพยาน

ที่ขาดไม่ได้ คือ สุมาอี้ , เก๊าตี๋ และเกโง่ ๓ น้องชายร่วมสายเลือดของเก๊า ม้าเก็ง

นาฬิกาติดผนังเหนือกระดานจดแต้มมาร์กเกอร์บอกเวลาอีก ๓ นาทีเที่ยง จรงบริเวณชั้น ๓ ยิ่งเพิ่มจำนวนชาวยุทธ์กระทั่งกลายเป็น
เบียดเสียดกัน จนทำให้คิดถึงวันที่เจ้าสำนักหัวลำโพงเกชาดวลคิวกับเซียนตลาดโนเนมชื่อ " เปี๊ยก " ที่สมาคมพ่อค้าไทยขึ้นมาทันที

คราวนั้นบรรดานักสู้ระดับ " คิวทอง " วิจารณ์กันว่า เฮียชาชนะเชิงสนุ้กเกอร์เกมตัดสิน เพราะเซียนโนเนมตื่นสนามหรือสถานที่กับเงิน
เดิมพันก้อนโตหาใช่ฝีมือเป็นรอง

ก็ว่ากันไปตามศรัทธาแฟน

ส่วนเกมสนุ้กเกอร์เบื้องหน้า บัดนี้มีวัยคะนอง ๒ นายออกเดินเคลียร์ชาวยุทธ์ที่ยืนล้ำเส้นให้ถอยห่างจนผู้ที่อยู่ด้านหลังถึง ขั้นกระโจน
ขึ้นไปยืนบนขอบโต๊ะบิลเลียดที่ตั้งขนาบข้างโต๊ะที่ใช้ชิงความเป็น " หนึ่ง " ของ ๒ จอมยุทธ์หนุ่มจนถึงขั้นต่อว่าต่อขานกัน

พักเดียว เจ้าของโต๊ะยอมให้ยืนบนขอบโต๊ะได้ แต่จะต้องถอดรองเท้า อีกทั้งห้ามลงไปยืนบนสักหลาดเด็ดขาด มองดูแล้วก็สนุกดีตามวัย

ต่อมา เจ้าสำนักย่านสามยอด โรงหวย สะพานถ่าน นามเฮียจีนซึ่งรับหน้าที่เป็นกรรมการชี้ขาดประกาศเงินลงขันเดิมพันที่ถืออยู่ในมือ
ฝ่ายละ ๒๐,๐๐๐ บาท รวมเป็น ๔๐,๐๐๐ บาท

กติกา ผู้ใดชนะ ๒ เกมรวดถือเป็นผู้ชนะเด็ดขาด
ถ้าชนะคนละเกม จะตัดสินในเกมที่ ๓
เสียงฮือฮาดังขึ้นระคนเสียงปรบมือจากแฟนๆ เก๊า ม้าเก็ง มังกรหน้าหยกตรึงร่างสมสัดส่วน สูงไม่เกิน ๑๖๕ ซ.ม. กราดนัยน์ตาเหลือง
กลมโตราวนัยน์ตาเสือยลชาวยุทธ์โดยรอบก่อนรับคิวส่วนตัวจาก สุมาอี้ น้องชายคนรองไปจัดการใช้ชอล์กฝนหัวคิว

พัน หลังวัง ละจากแฟนสาวไปสัมผัสมือกับคู่ชิงกลางเสียงปรบมือกึกก้องอีกครั้ง

ชาวยุทธ์ตั้งแต่วัยรุ่นยันรุ่นใหญ่ตะโกนสอบถามจับเดิมพันจ้าละหวั่น

" เราจะถือข้างไอ้พัน " บังมานบอก

ผมไม่ออกความเห็น เนื่องจากฝีมือของทั้งสองก้ำกึ่งกันมาก มาร์กเกอร์จัดแจงใช้แปรงทำความสะอาดสักหลาดปูโต๊ะและตั้งลูก
เจ้าสำนักขายกามหยิบเหรียญบาทขึ้นชูให้สมาชิกชม

ดาราม้าเก็งเอ๋าสบตาคู่ชิง กล่าวไม่ยาวความ " พัน เราให้นายเลือกก่อน จะเอา " หัว " หรือ " ก้อย " ล่ะ

" เราเอาหัว " พันว่า

เก๋าปรายตามองรอบตัว เฮียจีนจัดการดีดเหรียญบาทหมุนติ้วเกือบติดเพดาน พอเหรียญหล่นกระทบพื้นหินขัดและหยุด
ชาวยุทธ์ที่ยืนอยู่ใกล้เหรียญเสี่ยงดวงเปิดเกมสนุ้กเกอร์พึมลั่น

" ออกหัว "

พัน หลังวัง ถือคิวหุ้มเงินไปสบตาแฟนสาวนามรุ่ง " สันติฯ " กี๋ชื่อดัง ก่อนขยับเดินไปเตรียมเปิดเกมท้ายโต๊ะ บังมานแวบจากกผม
ไป จับเดิมพันยังกลุ่มวัยรุ่น ปุ๊ ระเบิดขวด กับ ดำ เอสโซ่ ส่วนรอบตัวผมมีกลุ่ม เอ๊ด หลังวัง , พา วัดใต้ , ชัย โพธิ์สามต้น จับตาอยู่ที่มือ
ซ้ายเทพบุตรหนุ่มพัน หลังวัง ที่กำลังทอดวางลงบนโต๊ะเพื่อตั้งมือ ร่างอันอัดด้วยพลังหนุ่มสูงกำยำค้อมลง สองดวงตามองลูกบิลเลียด
สีแดงทั้งกลุ่มหัวโต๊ะเขม็ง

ลูกสีขาว ( อีตัว ) ยังจุดตั้งถูกจ่อด้วยปลายคิวในมือจอมยุทธ์หุ่นงามที่กำลังสาวหาจังหวะ พลังเสียงหัวคิวกระทบลูกสีขาวดังกริ๊ก

ลูกกลมๆ สีขาวทะยานลิ่วออกจาจุดตั้งไปสะกิดลูกสีแดงทั้งกลุ่มแตกจากกันแค่ ๒ ลูก แต่ก็หาใช่ลูกลอยที่มังกรม้าเก็งเอ๋าสามารถ
" ตบ " หรือ " เซ็ต " เพื่อต่อแต้มได้ จึงแทงเชิง " กัน " ให้ผู้รับไม้ต่อลำบากใจตามเชิง

ตกมาถึงขั้นนี้ ขอกล่าวถึงปูมประวัติของคู่ชิงประกอบการเดินเงินและต่อราคาดังนี้

พัน หลังวัง มาจากครอบครัวข้าราชการระดับหัวหน้ากอง เป็นบุตรชายของครอบครัวที่มีฐานะดี แต่ไม่มีเวลาจะได้ใกล้ชิดนัก
เพราะต้องขวนขวายหาเงินไว้สำรองลูกๆ ที่กำลังเอ็นฯ เข้ามหาวิทยาลัยนั่นเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ ชีวิตวัยรุ่นของพันจึงไม่พ้นการแสวง
หาความสุขนอกบ้านทดแทน

ที่สุดพันก็เบื่อหนังสือเรียน เริ่มคบเพื่อนรุ่นพี่และคอยติดตามบุคคลที่ตนนับถือไปยังสถานที่ต้องห้าม เช่น โรงยาฝิ่น ซ่องโสเภณี
บ่อนการพนัน อย่างสม่ำเสมอ

ทีนี้แต่ละก้าวย่างของชาวยุทธ์นั้นไม่เปิดโอกาสให้ใครก้าวยาวกว่าตนอยู่แล้ว เด็กรุ่นเช่นพันจึงต้องกรำศึกกำปั้น ไม้และมีดจนกร้าน
จึงเป็นใหญ่ในถิ่นได้

ทว่า คนเราเมื่อเป็น ส.ส. แล้ว ใครบ้างไม่อยากเป็นรัฐมนตรี

วัยคะนองอายุแค่ ๑๖ ปี จึงทะยานรุกคืบหน้าขยายบารมีข้ามไปยึดย่านศูนย์การค้าวังบูรพา ตั้งกลุ่มขึ้นโดยเรียกกลุ่มพวกตนว่ากลุ่ม
" หลังวัง " มีสมาชิกผู้ร่วมทีม ๗ คน คือ พัน หลังวัง, เอ๊ด หลังวัง, อ๊อด หลังวัง ( หมอเหล็ง ) , จบ หลังวัง , เจ็ง ไหมไทย, ใหญ่ วัดอินทร์
และดิน เชื้อเพลิง

เมื่อจัดขบวนกลุ่มคนได้ ต่างคนต่างพาบริวารออกสำแดงฝีมือคะนองกรุง ตามความถนัดของตนตามศูนย์การค้าใหญ่ๆ จนเจ้าของ
ห้างพากันปวดหัวที่สินค้าวางโชว์หายไปจากตู้ราวปาฏิหาริย์

อีดอาชีพหนึ่งที่วัยคะนองวังบูรพาชมชอบโชว์คือ รับจ้างคุ้มกันโรงแรมต่างๆ มิให้ถูกฝ่ายตรงข้ามทำร้ายเป็นงานๆ ไป ส่วนมาก
ที่อาสาคุ้มกันก็ตอนแข่งขันกีฬาดังกล่าว จึงส่งผลให้ ๗ วัยคะนองดังระเบิดในประดาวัยรุ่นและนักศึกษา

เฉพาะอย่างยิ่ง พัน หลังวัง อหังการถึงขั้นประกาศต่อหน้าชาวยุทธ์ห้ามศิลปินไทยเลียนแบบราชาร็อก เอลวิส เพรสลีย์ ทูนใจของ
พวกเขาเด็ดขาด

ถึงตรงนี้ ชาวยุทธ์อาวุโสเริ่มชายตามองเงียบกริบ

ด้านเก๊า ม้าเก็ง มีสังคมวัยเด็กจากแหล่งเสื่อมโทรมแถวสี่แยกแม้นศรี สะพานดำ ( การประปาฯ กรุงเทพฯ ) ครอบครัวเป็นชาวไหหลำ
มีพี่น้องร่วมสายเลือด ๕ คน คนโตเป็นหญิงชื่อเจ๊หลั่น รองลงมาคือตัวเก๊า ม้าเก็ง , สุมาอี้ , เก๊าตี๋ และ เกโง่

ความที่กำเนิดจากครอบครัวยากจน เก๊าได้ถูกหลอมให้สู้ชีวิตตั้งแต่อายุไดั ๖ ขวบ โดยรับใบตรวจหวย ( ลอตเตอรี่ ) จากโรงพิมพ์
ออกวิ่งร้องขายไปตามถนนสายต่างๆ ทั่วกรุง วันไหนหวยไม่ออกเก๊าหันเข้าไปรับใช้พวกเศรษฐีตามบ่อนวิ่งซื้อของพัลวัน เรื่องโรงเรียน
สำหรับเก๊าแล้ว แค่พี่สาวพาไปสมัครเรียนเท่านั้น

ย่างเข้าสู่วัยรุ่น เก๊าถูกจับข้อหาพยายามฆ่านักบู๊อาวุโสโดย สน. จักรวรรดิ แต่มีเสี่ยใหญ่ของโรงยาฝิ่นม้าเก็งเอ๋าไปปรากฏตัวบนโรงพัก
ครู่เดียวเก๊าก็ได้รับอนุญาตจากเจ้าของคดีให้มีประกันตัวได้

พอพ้นตะราง ยี่ห้อเก๊า ม้าเก็ง อุบัติทันที

นับแต่นั้นเป็นต้นมา เก๊า ม้าเก็งได้ถูกชาวยุทธูรุ่นอาวุโสจับตามองไม่ผิด พัน หลังวัง สร้างบารมี

กลับเข้าสู่สนามนักสู้บนผืนสักหลาดเขียวขจีของ ๒ ดาวดังที่กำลังขับเคี่ยวดวลคิวกันด้วยเชิงสนุ้กเกอร์
บัดนี้เงียบจนได้ยินเสียงถอนหายใจจากแฟนๆ นับร้อยคน

เกมแรก เก๊าชนะชิงดำ

เกมสอง พันชนะขาดลอย

ตอนนี้กำลังขึ้นเกมตัดสิน พันเป็นฝ่ายเปิดเกมเบรก ต่อมาพันตบได้แดง ๒ ชมพู ๑ กับดำอีก ๑ รวมแล้วพันนำคู่ชิง ๑๕
แต้มก่อนวางมือ

เก๊ารับน้ำขวดจากเก๊าตี๋ไปดื่มแก้กระหายก่อนแก้เกมบนโต๊ะ ผมเอาสมุดที่เหน็บอยู่ในกระเป๋าหลังโบกเอาลม
ไล่ร้อน เพราะคนมายัดทะนานกัน เสียงเซียนพนันเสนอราคาต่อรองดังแจ้วๆ ขึ้น

พัน หลังวังยืนถือคิวอยู่ข้างๆ แฟนสาวหุ่นนักเรียน สุมาอี้น้องชายคนรองจากเก๊าประกาศขึ้นแต่น่าคิดสำหรับชาวยุทธ์

" ใครก่อเสียงรบกวนขณะเฮียเก๊าแทง ผมถือว่า " หัก " กัน "

บังมานกับมัดลีบ ๒ ดาวดังย่านเจริญผลบ่นข้างๆ หู

" เราว่าเดี๋ยวได้ฉะกัน "

ผมไม่เติมน้ำมัน ขณะเพื่อนเป็นไฟ เก๊าละจากน้ำขวดถือคิวออกเดินรอบโต๊ะมองเหลี่ยมมุม ทันใดอย่างไม่คาดฝัน
รองเท้าแตะข้างหนึ่งลอยข้ามหัวผมไป ตกกลางโต๊ะบิลเลียด กระทบลูกบิลเลียดที่เรียงรายอยู่ในโต๊ะเคลื่อนที่ไม่น้อย
กว่า ๕ ลูก

เอาละ...ลูกบิลเลียดบนโต๊ะของ ๒ นักสู้ไม่เคลื่อนไหวแล้ว แฟน ๆ นับร้อยก็เงียบกริบ ทุกดวงตาชาวยุทธ์
มองรองเท้าแตะบนโต๊ะเขม็ง

พันยืนกำไม้คิวกราดสายตามองข้ามหัวผมไป เก๊าเดินไปหยิบรองเท้าบนโต๊ะขึ้นมาถือสั่งความสมุนรอบกายสั้น ๆ

" พวกมึงไปยืนขวางทางลงไว้ ตรวจหาคนที่รองเท้าหายให้ได้ "

พันเดินไปรับรองเท้าแตะข้างเดียวยี่ห้อบาจามาจากเก๊า พร้อมประกาศ

" เราขอตบเจ้าของรองเท้าแตะนี่ทีเดียวเท่านั้น "

" เราด้วย " เก๊าว่า

คราวนี้ผู้คนบนชั้น ๓ ของเวียงฟ้าเริ่มรวนเรแย่งกันลงบันไดหนี เหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ สุมาอี้, เก๊าตี๋, โอกุ่ยซ้ง และใจฝ่า
ทำหน้าที่ตรวจตีนชาวยุทธ์ด้วยใบหน้าแดงก่ำ

ส่วนผมถูกสหายกลุ่มเจริญผลชวนให้อยู่ดูตัวคนใส่รองเท้าข้างเดียวให้ชัดตา เลยกัดฟันอยู่ชม การตรวจค้นดำเนิน
ไปได้อึดใจ วัยรุ่นนายหนึ่งพรวดออกไปยืนเบื้องหน้า ๒ ดาวดังบอกเสียงเบาโหวง

" รองเท้าผมหายไปข้างหนึ่ง ข้างนี้แหละครับ "

เก๊ากล่าวยิ้ม ๆ " รองเท้ามึงหลุดออกมาจากตีนลอยมาเองได้ใช่ไหม ไอ้เล็ก "

เล็ก " ต่วน " วัยรุ่นที่เพิ่งจะรุ่งคู่มากับนิด " กุหลาบแดง " และหมู " เจตน์ " บอกเสียงสั่น

" ผมถอดไว้ใต้โต๊ะแล้วขึ้นไปยืนขอบโต๊ะ ใครคงหยิบไปโยนก็ได้ครับ "

สิ้นคำ พันพรวดถึงตัววัยคะนองตบลืมแบเต็มแรง เล็กหน้าสะบัดเซไป ๒ ก้าว เก๊าใช้ไม้คิวประคองไว้ ตะคอก
ใส่หน้าแทนตบเสียงดัง

" จำไว้ มึงเจ็บเพราะของที่ใส่อยู่กับตีนนะ "

วัยคะนองก้มหน้ารับรองเท้าแตะอีกข้างของตนจากพัน เดินแหวกชาวยุทธไป

3 comments:

  1. เล็กต่วนเป็นอาผมครับเรื่องนี้ไม่จริงครับ

    ReplyDelete
  2. เรื่องมันถูกแต้มเติมแต่งให้เป็นนิยาย....จากข้อมูลความจริงส่วนนึง....ผสมกับเรื่องแต่งตามจินตนาการ.....อ่านสนุก ชวนติดตาม....ต้องแยกให้ออกครับว่าคือนิยายอิงเหตุการและข้อมูล.....คนแต่งก็ตายไปแล้ว.....จบ...

    ReplyDelete
  3. แล้วตอน 2-70 อยุ่ไหน

    ReplyDelete